เมื่อ วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 63 สโมสร “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” เลสเตอร์ ซิตี้ เปิดสนามคิง เพาเวอร์ ต้อนรับการมาเยือนของ “สิงห์บลูส์” ที่นำทัพโดย แฟร้งค์ แลมพาร์ด ซึ่งตลอดการแข่งขันในนัดนี้ ถือเป็นเกมที่สู้กันสนุกสุดมันส์ จนแฟนบอลต่างไม่มีเวลาพักหายใจ ครึ่งแรกนั้นทั้งสองทีมผลัดกันบุก และเกือบทำประตูได้หลายครั้งก่อนหมดเวลายังไม่มีประตูเกิดขึ้น
ส่วนครึ่งหลังนั้นทั้งสองทีมผลัดกันนำ ผลัดกันตาม โดย เชลซี ได้ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่ขึ้นโหม่งให้ทีมขึ้นนำ ก่อนจะมาขึ้นโหม่งประตูตีเสมอ เลสเตอร์ ซิตี้ สุดมันส์ ก่อนหมดเวลาทั้งสองทีมเสมอกันที่ 2-2 แบ่งกันไปคนละแต้ม ส่งผลให้ทัพ “สิงโตน้ำเงินคราม” มีสถิติไม่ชนะใครเลย ตลอด 3 เกมที่ผ่านมา ในลีกยังรั้งที่ 4 ส่วนทัพ “จิ้งจอก” ยึดที่ 3 อดทำ 3 แต้มขึ้นไปเทียบเท่า แมนฯ ซิตี้ รองจ่าฝูง ศึก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
“จิ้งจอกสีน้ำเงิน” เลสเตอร์ ได้เปิดศึกกับ “สิงห์บลูส์” เพื่อแย่งพื้นที่ในการเป็นท็อปโฟร์ ด้วยการส่ง ฮัมซ่า เชาดรี้ ลงเล่นแทน วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ กองกลางชาวไนจีเรี วัย 23 ปี ที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บที่บริเวณฯหัวเข่าในขณะฝึกซ้อม ส่วน เจมี่ วาร์ดี้ มีสภาพร่างกายที่ดีเยี่ยม และได้ลงเล่นเป็นตัวจริง
ฟาก “สิงโตน้ำเงินคราม” ที่นำทัพโดย แฟร้งค์ แลมพาร์ด ในเกมนี้ แลมพาร์ด เลือกที่จะไม่ส่ง เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ผู้รักษาประตูหลักลงสนามเนื่องจากผลงานที่ผ่านมา มีจังหวะผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้ วิลลี่ กาบาเยโร่ ได้รับโอกาสในการขึ้นมาเฝ้าเสา เช่นเดียวกับ เปโดร ที่ลงแทน วิลเลี่ยน พร้อมทั้งอีกหนึ่งข่าวดี แทมมี่ อับราฮัม หายจากอาการเจ็บ พร้อมนำแนวรุกอีกครั้ง