“ลี ชองเหว่ย” อดีตนักแบดมินตันมือ 1 ของโลกจากมาเลเซีย และแชมป์ชายเดี่ยวมาเลเซีย โอเพ่น 12 สมัย กล่าวกับ The Star สื่อในประเทศมาเลเซีย ถึงผลงานเมื่อปี 2011 ซึ่งเป็นปีที่เขาประทับใจที่สามารถกวาดแชมป์มาได้อย่างมากมาย
“ในช่วงปี 2011-12 ผมได้เห็นเวอร์ชั่นที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเอง ในตลอดที่เล่นแบดมินตันมา 19 ปีเต็ม ผมกวาดแชมป์ออลอิงแลนด์ได้ถึง 4 สมัย, รองแชมป์โลกอีก 3 สมัย และเหรียญเงินโอลิมปิก 3 สมัย ผมยังตั้งคำถามกับตัวเองว่า เมื่อไรถึงทำได้ดีที่สุด”
และในช่วง 2 ปีหลังก่อนที่ ลี ชองเหว่ย อดีตนักแบดมินตันมือ 1 ของโลกจากมาเลเซีย เลิกเล่นสนุ๊กเกอร์นั้น เขากวาดแชมป์ 11 จาก 19 รายการ แต่ต้องมาอกหักในศึกชิงแชมป์โลกในปี 2011 ที่ลอนดอน ต่อด้วยโอลิมปิก 2012 โดยเขาแพ้ให้กับหลิน ตัน จากจีน
“ผมแพ้หลิน ตัน 2 ครั้งในรายการใหญ่ แต่ผมคิดว่ามันทำให้ผมแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลังจากนั้นมา แม้ว่าผมจะต้องพลาดท่าในโอลิมปิกที่ลอนดอน แต่เป็นการกลับมาอย่างยอดเยี่ยม จากอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า ก่อนโอลิมปิกจะเริ่มขึ้น 3 เดือน
ผมสารภาพตอนนั้นว่า คิดว่ามันจบลงเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บระหว่างในศึกโธมัส คัพ และไม่คิดว่าผมจะสามารถเล่นในโอลิมปิกได้หลังจากต้องรักษาตัวไปหลายเดือนก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ช่วงนั้นอาการบาดเจ็บของผมยังไม่หายดีเท่าที่ควร ในวันก่อนการแข่งขัน เลยปรึกษากับทีมแพทย์ และ นักกายภาพว่า ต้องใช้ยาแก้ปวดยับยั้งอาการไปก่อน”
เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิก 3 สมัย ยังพูดถึงกระแสที่สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) มีแนวคิดจะเปลี่ยนการนับคะแนนใหม่เป็น 11×5 ซึ่ง ลี ชองเหว่ยได้บอกในฐานะหนึ่งในนักแบดมินตัน ว่าเขาชอบรูปแบบดั้งเดิมคือ 15×3 ในมุมมองส่วนตัวของผมคือถ้า BWF ใช้ระบบ 11 คะแนน เหตุผลหลักคือเพื่อรองรับการถ่ายทอด และเป็นการสร้างรายได้เชิงพาณิชย์มากขึ้น แต่ผมยังคิดว่าระบบ 15 คะแนนเป็นระบบที่ดีที่สุดในเกมการแข่งขันที่ผมเคยเล่นแบดมินตันมา
