ทีมชาติไทยทำได้ สามารถตีเสมอ 1-1 ทีมชาติอิรัก ส่งผลให้ไทยได้เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นทีมที่ 2 ต่อจากทีมชาติออสเตรเลีย
โดยมีรายชื่อ 11 ตัวจริงดังนี้ ผู้รักษาประตู กรพัฒน์ นารีจันทร์, พีฬาวัช อรรคธรรม, ศฤงคาร พรมสุภะ, ทิตาวีร์ อักษรศรี, ทิตาธร อักษรศรี, กานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์, วิศรุต อิ่มอุระ, เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์, วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา และ เบนจามิน เดวิส

ทีมชาติไทยลงเล่นในระบบ 4-2-3-1 โดยที่ในรอบนี้ทีมชาติไทยเล่นได้ดี โดยเฉพาะเบนจามิน เดวิส มิดฟิลด์ที่ทีมชาติไทยเรียกตัวมาจากฟูแล่ม สามารถเล่นได้อย่างดุดัน ครบเครื่อง ป่วนแนวรับอิรักได้ดี เล่นฉลาด แรงไม่ตกแม้จะถูกเบียดล้มหลายครั้ง ยังสามารถเรียกฟาวล์ได้ถึง 7 ครั้ง และ 1 ประตูของทีมชาติไทยนั้นก็มาจาก เบนจามิน เดวิส เรียกจุดโทษให้ทีมจากจังหวะเปิดมุมไปโดนแขนของแนวรับคู่แข่ง นักเตะที่เตะจุดโทษให้ทีมชาติไทยในนาทีที่ 6 คือ เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ กับลูกเตะสุดเฉียบคม อัดตุงตาข่าย ส่งผลให้ทีมชาติไทยขึ้นนำอิรัก 1-0 และนับเป็นครั้งแรกที่มีการได้ประตูจากวีเออาร์ในลีกนี้

ด้านผู้รักษาประตู กรพัฒน์ นารีจันทร์ ก็ไม่น้อยหน้าโชว์ฟอร์มดี ปัดและรับลูกได้ดีตลอดทั้งเกม มีเสียไป 1 ประตูจาก โมฮัมหมัด กาซิม ในนาทีที่ 49 แต่สามารถเซฟจุดโทษและเซฟลูกยิงคม ๆ ของทีมชาติอิรักได้หลายต่อหลายครั้ง กลายเป็นผู้รักษาประตูดาวรุ่งที่น่าจับตามองในนาทีนี้

ส่วน เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ ในขณะนี้ขึ้นนำเป็นดาวซันโวของลีกนี้ด้วยสถิติทำประตูได้ 3 ลูก ในนัดแรกที่พบกับ ทีมชาติบาห์เรน 2 ลูก และนัดที่พบทีมชาติอิรัก 1 ลูก
แนวรับไทยทุกคนที่ลงมาเล่นก็เล่นได้ดีแม้จะเคลื่อนที่ช้าแต่ก็เปี่ยมไปด้วยสมาธิ ทำให้การบุกของทีมชาติอิรักไม่ขาด บอลถึงมือผู้รักษาประตูแบบนิ่ม ๆ หลายครั้ง รวม ๆ แล้ว แม้จะมีการเปลี่ยนผู้เล่นหลักจากนัดก่อน ๆ ออกถึง 7 คน แต่ด้วยการเล่นที่เป็นทีมและมีระบบที่ดี ทำให้ทีมชาติไทยทำผลงานเป็นที่น่าชื่นชม และยังเป็นการผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทยอีกด้วย